ฟิลเลอร์ (Filler) หัตถการความสวยความงามที่ได้รับความนิยมในทุกเพศทุกวัย เพราะในปัจจุบันเราสามารถรักษาผิวหน้าที่เสื่อมสภาพให้กลับมากระชับ เรียบเนียน และอ่อนเยาว์ได้อีกครั้ง เพียงแค่การฉีดฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็มเข้าสู่ร่างกาย ก็ทำให้เราผ่อนคลายแทบทุกปัญหาผิวไปได้ ไม่ว่าจะเป็น ริ้วรอยที่เกิดจากการมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ร่องลึกต่างๆ บนใบหน้า เรียกได้ว่าเป็นหัตถการด้านความงามที่ช่วยรักษา และแก้ไขปัญหาต่างๆ บนใบหน้าได้ดี เนื่องจากฟิลเลอร์ จะเข้าไปช่วยเติมเต็มเพื่อให้ผิวเรียบเนียน อิ่มฟู เต่งตึงขึ้น รวมถึงการมอบความชุ่มชื้น หรือทำให้ริมฝีปากอวบอิ่มมีรูปร่างสวย ด้วยคุณสมบัติที่สามารถอุ้มน้ำได้ดีของฟิลเลอร์ จึงช่วยทำให้ผิวเปล่งปลั่ง เยาว์วัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัดค่ะ

            ทั้งนี้ การที่เราจะฉีดสารบางอย่างเข้าสู่ร่างกาย แน่นอนค่ะว่าจะคลายกังวลเรื่องความปลอดภัยไปไม่ได้ เพราะเราอาจเคยได้ยินมาบ่อยครั้งแล้ว ว่าผลเสียที่ได้รับมักไม่เป็นเรื่องจิ๋วเอาซะเลย นอกจากจะมีปัญหาผิวเรื่องฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อนแล้ว ยังส่งผลเสียหลายๆ อย่างตามมาจนถึงขั้นเสียโฉม ร้ายแรงสุดอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย

ลา กราซ อยากซัพพอร์ตทุกความมั่นใจ เพื่อให้คุณได้สวย หล่อ อย่างปลอดภัย จึงรวบรวมข้อมูลที่ต้องรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์ มาให้ทุกคนได้ศึกษาก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์กันค่ะ ฟิลเลอร์คืออะไร? เป็นสารชนิดไหน? ฉีดแล้วปลอดภัยหรือไม่? ดูรายละเอียดกันได้ที่นี่เลย

Table of Contents

ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร? ทำไมคนถึงนิยมฉีดกัน?

         ฟิลเลอร์ (Filler) ( https://shorturl.asia/6Jzt5 ) คือ สารเติมเต็มชนิดไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic acid) หรือที่เราเรียกย่อๆ กันว่า (HA) ซึ่งเป็นสารที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายของมนุษย์เราตามธรรมชาติอยู่แล้ว โดยสารดังกล่าวจะถูกนำมาใช้เพื่อทดแทน สารไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic acid) ที่ร่างกายได้สูญเสียไป จากการผลิตได้น้อยลงเรื่อยๆ เมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง โดยในผิวหนังมนุษย์ จะมีเส้นใยคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำให้สุขภาพผิวแข็งแรง ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และเต่งตึง ซึ่งจะสามารถสังเกตเห็นความอ่อนเยาว์ ผิวเนียนนุ่มได้อย่างชัดเจน

            ในขณะเดียวกัน เมื่อร่างกายผลิตเส้นใยคอลลาเจนได้ลดลง จะส่งผลให้ผิวบางลง และก่อให้เกิดริ้วรอยต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ดังนั้น หากมีการฉีดฟิลเลอร์ หรือ Hyaluronic Acid เข้าไปในบริเวณที่เป็นริ้วรอย หรือร่องต่างๆ เช่น ในบริเวณใต้ตา ร่องแก้ม ร่องลึกบนขมับ และริ้วรอยต่างๆ ปัญหาผิวทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะดูตื้นขึ้น ผิวมีความเต่งตึง เรียบเนียน นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ยังเป็นสารที่มีความคงตัวสูง จึงสามารถช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิวได้ดี ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำมากขึ้น

            ทั้งนี้ นอกจากฟิลเลอร์จะนิยมนำมาใช้ฉีดเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยต่างๆ แล้ว ยังสามารถนำมาฉีดเพื่อใช้แก้ไขโครงสร้างใบหน้าตามบริเวณจุดต่างๆ เช่น ฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์คาง ฟิลเลอร์จมูก หรือฟิลเลอร์น้องสาวด้วยเช่นกัน ซึ่งเราสามารถปรับแต่งสัดส่วนเหล่านี้ให้สวยขึ้นตามที่เราต้องการได้โดยที่ไม่ต้องผ่าตัดนั่นเองค่ะ

ฟิลเลอร์(Filler) มีกี่ประเภท

สำหรับฟิลเลอร์ (Filler) จะสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท โดยมีดังนี้เลยค่ะ

1. ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary Filler)

เป็นฟิลเลอร์ที่สามารถสลายเองตามธรรมชาติได้ มีความปลอดภัยสูง มักเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นฟิลเลอร์ชนิดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายของมนุษย์ตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังเป็นฟิลเลอร์ชนิดเดียวที่ได้รับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.ไทย เป็นฟิลเลอร์ที่สามารถอยู่ได้ประมาณ 6 – 24 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและแต่ละรุ่นของฟิลเลอร์ เมื่อฟิลเลอร์ได้มีการสลายตัวไปแล้ว เราสามารถกลับมาเติมใหม่ได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการตกค้างบนร่างกายค่ะ

2. ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi Permanent Filler)

เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายเองได้หมดแบบ 100% เพราะเป็นฟิลเลอร์แบบชั่วคราว แต่สามารถอยู่ได้ประมาณ 2 – 5 ปี สำหรับตัวอย่างสารที่ใช้จะเป็นสารแคลเซียม ไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxyapatite) สาร PLLA (Poly-L-lactic acid) และสาร Polyalkylimide เป็นต้น นอกจากนี้ สารเติมเต็มในกลุ่มฟิลเลอร์ประเภทนี้ อาจส่งผลข้างเคียงมากมายได้ เช่น เมื่อมีการฉีดไปนานๆ เนื่องจากฟิลเลอร์ไม่สามารถย่อยสลายได้หมด 100% จึงมีโอกาสที่ทำให้เกิดการสะสมจนมีปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อน และเกิดการอักเสบตามมาได้ ส่งผลให้การรักษา หรือแก้ไขได้ยาก โดยฟิลเลอร์ชนิดนี้จะมีการใช้ในต่างประเทศเท่านั้น โดยจะยังไม่มีการผ่านอย.ประเทศไทยค่ะ  

3. ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent Filler)

เป็นฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่า เป็นฟิลเลอร์ที่คงอยู่ถาวรนั่นเองค่ะ โดยสารเติมเต็มในกลุ่มนี้จะเป็น เช่น ซิลิโคนเหลว พาราฟิน หรือ สาร PMMA (Polymethyl-methacrylate microspheres) เมื่อได้มีการฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะไม่สามารถดูดซึมได้ ทำให้ตกค้างอยู่ในชั้นผิว ส่งผลข้างเคียงได้ในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น ฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์ย้อยผิดรูป หรือกลายเป็นพังผืด ซึ่งหากทำการรักษา จะต้องทำการขูด หรือผ่าตัดออกเท่านั้น ไม่สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ จึงแนะนำว่าไม่ควรฉีดสารเติมเต็มชนิดนี้เข้าไปในร่างกายอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ได้รับการผ่าน อย. อีกด้วยค่ะ

ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) ตำแหน่งไหนได้บ้าง?

         ฟิลเลอร์ ตัวช่วยในการสร้างมิติให้แก่ใบหน้า เพราะสามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึกต่างๆ ได้ดี ด้วยเหตุนี้ จึงได้ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาในบริเวณต่างๆ โดยมีดังนี้ค่ะ

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ใต้ตา (https://shorturl.asia/dkQi9) เป็นฟิลเลอร์ที่เหมาะกับสาวๆ หรือหนุ่มๆ ที่มีปัญหาผิวในบริเวณรอบดวงตา ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ร่องลึก ซึ่งฟิลเลอร์ใต้ตาจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว รวมไปถึงปัญหาใต้ตาคล้ำลึก มีถุงใต้ตา ที่เป็นสาเหตุมาจากกระดูกใต้ตายุบตัวลง เนื่องด้วยเหตุผลในหลายๆ ด้าน อาทิ มีอายุเพิ่มมากขึ้น การเกิดจากลักษณะทางพันธุกรรม เป็นโรคภูมิแพ้ หรือจากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การนอนไม่ตรงเวลา พักผ่อนไม่เพียงพอ โดยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะเข้าไปช่วยเติมเต็มและทำให้ผิวบริเวณใต้ตาดูเรียบเนียน เพิ่มความชุ่มชื้น ให้ดวงตาสดใส ช่วยให้หน้าดูไม่โทรม ดูเด็กลงอย่างเห็นได้ชัดค่ะ

ฟิลเลอร์ใต้ตา

Link คลิปรีวิวฟิลเลอร์ใต้ตา https://www.youtube.com/watch?v=bmlzEHWnBRs

Link คลิปรีวิวฟิลเลอร์ใต้ตา https://www.youtube.com/watch?v=32ZlJVbnRE8

ฟิลเลอร์ปาก สาวๆ หรือหนุ่มๆ ที่ไม่มั่นใจในรูปปากของตัวเอง สามารถแก้ไขได้ด้วยฟิลเลอร์ปากนี้เลยค่ะ เพราะข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ปากคือเขาจะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาปากลีบแบน ช่วยทำให้ปากอวบอิ่ม สามารถปรับรูปทรงปากให้ดูสวยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปรับปากตกให้ยกขึ้น ปรับปากที่ไม่เท่ากันให้ดูสมส่วน

โดยการฉีดฟิลเลอร์ปาก จะเป็นวิธีการที่ช่วยให้เห็นผลรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องทำการผ่าตัด นับว่าเป็นเทรนด์ความงามที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะการฉีดฟิลเลอร์ปากจะเข้าไปช่วยเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอิ่มฟู มีมิติขึ้นแบบเห็นผลทันทีหลังทำ และเมื่อใช้ระยะเวลาไม่นาน รูปทรงปากจะมีการเซตเข้าที่ ทำให้มีรูปทรงริมฝีปากสวยขึ้น นอกจากนี้แล้วฟิลเลอร์ปากยังเข้าไปช่วยเติมร่อง หรือริ้วรอยบนริมฝีปากให้ดูตื้น เรียบเนียนขึ้น หมดกังวลปัญหาทาลิปสติกแล้วตกร่องไปเลย อีกทั้งสารเติมเต็มดังกล่าวยังสามารถช่วยทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก มีริมฝีปากที่อิ่มเอิบ ปากอมชมพู ดูสุขภาพดี และอ่อนเยาว์ขึ้นค่ะ

Link คลิปรีวิวฟิลเลอร์ปาก https://www.youtube.com/watch?v=4oxp2Ou8ANw

Link คลิปรีวิวฟิลเลอร์ปาก https://www.youtube.com/watch?v=calywgIdb1E

ฟิลเลอร์คาง เหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม หน้ากลม ไม่มั่นใจในรูปหน้าของตัวเอง เพราะถ่ายรูปแล้วรู้สึกหน้าไม่เรียวเฟิร์ม หรือดูไม่สมส่วน การฉีดฟิลเลอร์คางจึงยังเป็นที่นิยมอยู่มาก เนื่องจากฟิลเลอร์คางจะเข้าไปช่วยเติมเต็มใบหน้า หรือแก้ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นได้ดี เพราะนอกจากจะช่วยในเรื่องของการเติมเต็ม ฟิลเลอร์คางยังสามารถปรับความยาวของคางให้เรียวขึ้น ดูสมส่วน และนอกจากจะช่วยให้ใบหน้าดูเรียวยาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว การฉีดฟิลเลอร์คาง ยังเข้าไปช่วยเติมเต็มใบหน้าให้ดูละมุน สวยขึ้นแบบไม่ดูโป๊ะ ช่วยให้สาวๆ มีรูปหน้าที่มีมิติมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นให้เสียเวลาค่ะ

Link คลิปรีวิวฟิลเลอร์คาง https://shorturl.asia/w9KQv

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม โดยส่วนใหญ่ปัญหาร่องแก้มลึกมักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องด้วยสาเหตุหลายๆ อย่าง เช่น มีอายุที่เพิ่มมากขึ้น เกิดจากพันธุกรรม หรือการมีพฤติกรรมที่ทำให้เกิดริ้วรอยร่องแก้ม และความเหี่ยวย่นมากขึ้น อาทิ ความเครียด การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์จัด รวมไปถึงการนอนดึก ทำให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูคอลลาเจนได้ดี ทั้งนี้ ปัญหาร่องแก้มจะเป็นการเกิดจากการยุบตัวลงของกระดูกที่อยู่ในบริเวณใต้ตา หรือการยุบตัวลงของกระดูกบริเวณร่องแก้มโดยตรง นอกจากนี้การที่เรายิ้มบ่อยๆ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้มีร่องแก้มเด่นชัดได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ฟิลเลอร์ร่องแก้ม หรือการฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไป จะช่วยแก้ปัญหาตามส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาแก้มห้อยย้อย รอยพับ ตัวร้ายที่ทำให้ใบหน้าสาวๆ ดูแก่กว่าวัย โดยฟิลเลอร์ร่องแก้มนี้ จะช่วยในการกักเก็บน้ำไว้ใต้ชั้นผิว แล้วปรับใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น ไม่ดูโทรม ทั้งนี้ ฟิลเลอร์ดังกล่าว จะเป็นบริเวณที่ฉีดง่าย มีโอกาสในการเกิดผลกระทบน้อย และไม่เสียเวลาในการพักฟื้นอีกเช่นกันค่ะ 

ปัญหาร่องแก้มลึก แก้ได้ด้วยฟิลเลอร์ร่องแก้ม เติมเต็มใบหน้าให้ดูสมส่วนอิ่มเอิบขึ้น

ร่องแก้มลึก สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยโปรแกรมอะไรอีกบ้าง?

ฟิลเลอร์ขมับ เป็นฟิลเลอร์ที่ถูกนำมาใช้เติมเต็มในส่วนของหลุมลึกข้างขมับ ช่วยแก้ปัญหาขมับตอบ ปรับรูปหน้าโดยรวมให้ได้สัดส่วนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากโครงสร้างของกะโหลกศีรษะที่ยุบตัวลง โดยฟิลเลอร์ขมับ จะเป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปช่วยเติมเต็มในบริเวณขมับที่เป็นแอ่งลึก ช่วยปรับใบหน้าโดยรวมให้สมดุลได้สัดส่วนมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด หลังจากฉีดฟิลเลอร์ขมับแล้ว จะเห็นผลทันที ช่วยทำให้ขมับเต็ม ใบหน้าดูเข้ารูปมากขึ้น สามารถปรับใบหน้าที่ดูเหนื่อยอ่อนล้า ไม่สดใส เปลี่ยนเป็นดูเด็กลง สดใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน

ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะเป็นบริเวณที่ต้องได้รับการระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากจะเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดเชื่อมไปยังลูกตา และปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้ในการฉีดแต่ละจุดค่อนข้างเยอะ ดังนั้น จึงเป็นบริเวณที่ต้องได้รับการฉีดโดยแพทย์ที่ชำนาญการเท่านั้น ไม่ใช่หมอกระเป๋า เพราะต้องพึ่งการฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง และเป็น ฟิลเลอร์แท้ที่มีมาตรฐานผ่าน อย.ไทย จะทำให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายโดยไม่จำเป็นนั่นเองค่ะ    

ฟิลเลอร์หน้าผาก นับว่าเป็นบริเวณที่เหมาะกับสาวๆ ที่อยากแก้ปัญหาความไม่มั่นใจบนบริเวณหน้าผาก ที่เกิดมาจากสาเหตุต่างๆ เช่น หน้าผากแคบ สัดส่วนเล็กจนเกินไป ทำให้รูปหน้าโดยรวมไม่สวย ดูไม่อิ่มเอิบ การมีรอยบุ๋ม หน้าผากยุบ หน้าผากแบน รวมไปถึงการมีริ้วรอยร่องลึกต่างๆ บริเวณหน้าผาก ที่ทำให้ใบหน้าดูไม่มีมิติ หรือดูแก่กว่าวัย ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก นอกจากจะเข้าไปช่วยเติมเต็มรอยบุ๋ม หรือร่องลึกต่างๆ บริเวณหน้าผากแล้ว ยังสามารถช่วยเติมเต็มริ้วรอยต่างๆ ให้ตื้นขึ้น และมีผิวที่เรียบเนียน กล่าวโดยสรุปคือ การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะช่วยให้มีหน้าผากที่นูนสวย ดูอิ่มเอิบ ผิวเรียบเนียน ช่วยให้มีใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ และสมส่วน มีมิติมากขึ้นค่ะ

ฟิลเลอร์จมูก จะเป็นการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเพิ่มความคมของสันจมูก หรือช่วยให้ปลายจมูกโด่งขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์จมูก จะเป็นการใช้สารเติมเต็ม  Hyaluronic Acid ในปริมาณที่ไม่เกิน 1 cc. ในกรณีที่มีเคสที่แพทย์ประเมินว่าต้องใช้มากกว่า 1 cc. พบว่าจะเป็นคนที่ไม่มีฐานจมูก โดยแพทย์จะแนะนำให้ทำการผ่าตัดจมูกมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ค่ะ เพราะหากฐานจมูกเดิมมีน้อย เมื่อมีการฉีดฟิลเลอร์เข้าไป 2 cc. ผลลัพธ์ที่ได้คือจะทำให้สวยเพียงตอนฉีดเสร็จเท่านั้น แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป 1 – 2 เดือน ทรงจมูกจะเริ่มบานออกด้านข้าง เนื่องจากฟิลเลอร์ไม่สามารถคงสภาพให้เป็นแท่งได้แบบเดียวกันกับแท่งซิลิโคน หรือเส้นไหมนั่นเองค่ะ

ฟิลเลอร์ นอกจากฉีดบนใบหน้าแล้ว สามารถฉีดบริเวณไหนได้อีกบ้าง?

ฟิลเลอร์น้องสาว ( https://shorturl.asia/ne7fP )

“ฟิลเลอร์” นอกจากใช้ฉีดบนใบหน้าได้แล้ว ยังสามารถนำมาใช้ฉีดบริเวณน้องสาวได้อีกด้วยค่ะ โดยจะเป็นการทำศัลยกรรมตกแต่งทางนรีเวช ซึ่งเป็นการเสริมรูปลักษณ์อย่างหนึ่งของอวัยวะเพศ เช่น การตกแต่งช่องคลอด ตกแต่งปากช่องคลอด หรือการตกแต่งบริเวณต่างๆ ของช่องคลอดให้ได้รูปร่างที่สวยงามขึ้นตามต้องการ เป็นอีกหนึ่งฟิลเลอร์ที่ฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปเพื่อเพิ่มขยายขนาด หรือความเต่งตึงให้น้องสาวมีความอิ่มฟู นูนสวย และดูอ่อนเยาว์ขึ้น

เรียกได้ว่าเป็นฟิลเลอร์ที่ช่วยแก้ปัญหาขนาดของอวัยวะเพศที่เล็กลง น้องสาวมีความหย่อนยาน ไม่เต่งตึงเหมือนเคย ด้วยสาเหตุจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอายุที่เพิ่มมากขึ้น การสูญเสียคอลลาเจนบริเวณอวัยวะเพศ รวมไปถึงผู้ที่มีปัญหาในเรื่องน้องสาวลีบแบน ไม่สมส่วน ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์น้องสาวจะช่วยให้น้องสาวดูดีขึ้นทันทีหลังจากที่ฉีด เพราะคุณสมบัติเด่นของฟิลเลอร์ หรือสาร Hyaluronic Acid (HA) คือช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวชั้นลึก นอกจากนี้ยังช่วยเติมเต็มน้องสาวให้มีความอวบอิ่ม นูนสวย มีรูปร่างที่มั่นใจขึ้น นับว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ความงามที่ได้รับความนิยม เพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้น้องสาวในการมัดใจคนรักได้อีกด้วยค่ะ

ใคร? ที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ (Filler)

  • ผู้ที่มีริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น รอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก ริ้วรอยใต้ตา
  • ผู้ที่ต้องการลดร่องลึก อยากปรับแต่งแก้ไขจุดบกพร่องของรูปหน้า เช่น ร่องแก้ม ขมับ ปัญหาใต้ตาคล้ำลึก มีถุงใต้ตา และรอยบุ๋มบนหน้าผาก
  • ผู้ที่ต้องการบำรุงผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่น เพิ่มความกระชับ เพื่อทำให้ผิวเต่งตึง เนียนนุ่ม และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิว แบบเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น
  • ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวแบบที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเจ็บตัวมาก
  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มความสวยงาม หรือความสมส่วนให้แก่บริเวณต่างๆ เช่น ปรับใบหน้ากลมให้ดูเรียวเฟิร์ม ช่วยให้น้องสาวที่ลีบแบน หรือหย่อนยาน มีความอวบอิ่ม ฟูสวย เต่งตึงขึ้น เป็นต้น
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดปัญหารูขุมขน อยากเติมหลุมสิวบนใบหน้าให้เรียบเนียนขึ้น

ใคร? ที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์

            ถึงแม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นที่นิยมในคนหมู่มาก เนื่องจากให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ แล้วยังเป็นวิธีการที่ปลอดภัย แต่ไม่ว่าจะเป็นหัตถการความสวยความงามรูปแบบไหน ก็ยังคงมีข้อจำกัดที่ตัวเราเองต้องศึกษาข้อมูลไว้ก่อนเพื่อระมัดตัวเองไม่ให้ประมาทกันค่ะ ทั้งนี้ ในแง่ของฟิลเลอร์นั้นจะมีอะไรบ้าง? ไปดูกันเลย

  • ฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่แพ้สารไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ไม่ควรฉีดอย่างยิ่ง เพราะเป็นส่วนประกอบหลักในฟิลเลอร์ค่ะ
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้ยาชา เพราะการฉีดฟิลเลอร์จะมีการให้ยาชา นอกจากนี้ ยังมียี่ห้อ หรือฟิลเลอร์บางรุ่นที่มีส่วนผสมของยาชาด้วยนั่นเองค่ะ
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวอักเสบ เช่น ผื่น ลมพิษ
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย หรือมีเลือดออกแล้วหยุดยาก เพราะหากมีการกินยาประจำอยู่แล้ว จะมีตัวยาที่อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ยาแก้ปวดกล้ามเนื้อ วิตามินอี และสารสกัดจากใบแปะก๊วย ที่ไม่ควรรับประทานก่อนเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ค่ะ
  • ผู้ที่มีผิวไวต่อการเกิดแผลเป็น หรือมีประวัติเป็นแผลคีลอยด์ง่าย
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นเริม หรืองูสวัด เพราะอาจทำให้อาการป่วยกำเริบมากขึ้น

ฟิลเลอร์ (Filler) ช่วยในเรื่องอะไรบ้าง?

  • ช่วยเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกต่างๆ บนใบหน้าให้ดูเรียบเนียนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ขมับยุบ รอยบุ๋มบนหน้าผาก ร่องริมฝีปาก ริ้วรอย หรือถุงใต้ตา
  • สามารถนำมาฉีดเพื่อใช้แก้ไขโครงสร้างบริเวณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณตามจุดต่างๆ ของใบหน้า หรือรูปทรงของน้องสาว ให้มีความสวย ได้สัดส่วนที่น่าพึงพอใจ
  • สามารถช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิวได้ดี ช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำมากขึ้น มีความเต่งตึง และอ่อนเยาว์
  • สามารถปรับรูปหน้า ทำให้รูปหน้าดูเรียวยาว มีมิติขึ้น เช่น การฉีดฟิลเลอร์คางที่ช่วยเปลี่ยนจากคางสั้น คางตัด เป็นรูปร่างยาวขึ้น ทำให้ใบหน้าไม่ดูกลม หรือการฉีดฟิลเลอร์จมูก ที่ช่วยให้ปลายจมูกโด่งขึ้นนั่นเองค่ะ

ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) แล้วดียังไง?

  • เป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะสามารถปรับแก้ไขรูปหน้าให้สมดุล มีมิติ โดยการเติมเต็มร่องลึก ริ้วรอยบริเวณต่างๆ ให้ผิวเรียบเนียน ดูสุขภาพดี มีรูปร่างสมส่วนมั่นใจขึ้น
  • เพราะเป็นหัตถการความสวยที่ไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่ต้องกังวลเรื่องทำให้เกิดรอยแผล หรือแผลเป็น
  • เป็นวิธีการที่สะดวก และรวดเร็ว เพราะหลังจากฉีดฟิลเลอร์แล้ว จะสามารถเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงได้เลยทันที และเมื่อใช้ระยะเวลาประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก
  • ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากอย.ไทย จะมีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะสามารถสลายเองตามธรรมชาติได้ ใน 1 – 2 ปี โดยไม่มีการตกค้างใดๆ ในร่างกาย
  • สามารถกลับมาเติมซ้ำได้เรื่อยๆ โดยต้องมีการปรึกษาแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง เพื่อให้ได้ผลที่น่าพอใจ และป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายด้วยเช่นกันค่ะ
  • เป็นตัวช่วยที่สามารถปรับสภาพผิวให้สดใส อิ่มน้ำ และดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  • หากผลที่ได้รับยังไม่เป็นที่น่าพอใจ สามารถให้แพทย์ฉีดสลายฟิลเลอร์ออกทั้งหมด และกลับมาฉีดใหม่ได้ค่ะ

ฟิลเลอร์ (Filler) ฉีดแล้วให้ผลลัพธ์นานแค่ไหน?

         ในการฉีดฟิลเลอร์ เราจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังจากที่ทำเสร็จ แต่ทว่าช่วงแรกอาจจะมีอาการบวมได้ค่ะ สำหรับคนที่อาจจะชอบให้บริเวณที่ฉีดมีความบวม อิ่มฟูเต็มแบบนี้ ขอบอกก่อนเลยว่าเมื่อเวลาผ่านไป อาการบวมเหล่านี้จะลดลง และเมื่อใช้เวลาประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ เราจะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้อย่างเต็มที่ เพราะเป็นการให้เวลาฟิลเลอร์ได้สมานรวมกับชั้นผิวให้เรียบเนียนนั่นเองค่ะ

            ทั้งนี้ อย่างที่เรารู้กันว่า ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) ประเทศไทย จะเป็นฟิลเลอร์ที่เป็นสารประเภท ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ที่สามารถสลายเองตามธรรมชาติได้ เพราะเป็นสารที่เดิมมีอยู่ตามร่างกายของมนุษย์อยู่แล้ว จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายในร่างกายเรา ไม่มีการตกค้าง และสลายเองได้ โดยปกติแล้วจะสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6 – 24 เดือน ขึ้นอยู่ในแต่ละบุคคล เนื่องจากภายในร่างกายของมนุษย์เรา จะมีเอนไซม์ที่สามารถย่อยสลายฟิลเลอร์ ซึ่งในแต่ละคนนั้น จะมีเอนไซม์นี้ไม่เท่ากัน และในกรณีคนที่มีเอนไซม์นี้สูง จะทำให้ฟิลเลอร์เกิดการสลายตัวไปได้อย่างรวดเร็วกว่า ในคนที่มีเอนไซม์ชนิดนี้น้อยกว่านั่นเองค่ะ

            และผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานแค่ไหนนั้น? ขึ้นอยู่กับปัจจัยในการดูแลตัวเองหลังทำด้วยเช่นกัน อาทิ การโดนความร้อน หรือการอยู่ในสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูงมากๆ จะส่งผลให้ฟิลเลอร์เกิดการสลายตัวได้เร็วกว่าที่ควร

และในทางตรงกันข้าม เราเองก็สามารถปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง เพื่อให้ฟิลเลอร์สามารถเข้าที่ได้ไว อยู่ได้นานขึ้น เห็นผลลัพธ์ได้อย่างประสิทธิภาพกว่าเดิม เช่น การดื่มน้ำเปล่ามากๆ จะช่วยให้ฟิลเลอร์ยิ่งอิ่มฟู มีความสวย เพราะช่วยส่งเสริมการทำงานของฟิลเลอร์ได้ดีขึ้น ด้วยคุณสมบัติของฟิลเลอร์ที่สามารถอุ้มน้ำได้ดี จะทำให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ยาวนาน

ในขณะเดียวกันยี่ห้อ หรือชนิดฟิลเลอร์แต่ละประเภท จะมีกระบวนการผลิตที่ต่างกัน มีคุณสมบัติเฉพาะในการแก้ปัญหาต่างๆ จึงทำให้มีขนาดโมเลกุลที่ไม่เหมือนกัน ส่งผลให้ระยะเวลาที่สามารถคงสภาพผิวอยู่ได้นานไม่เท่ากัน ทั้งนี้ เรื่องตำแหน่งที่ฉีดก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเช่นเดียวกัน เพราะหากฉีดในตำแหน่งที่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบ่อยๆ เช่น เมื่อเราแสดงสีหน้า อย่างบริเวณร่องแก้ม ปาก ร่องน้ำหมาก จะเป็นบริเวณที่เร่งอัตราการสลายตัวของฟิลเลอร์ได้ไวกว่าบริเวณอื่นค่ะ

ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) แล้ว สามารถกลับมาเติมซ้ำอีกได้หรือไม่?

            ฟิลเลอร์ที่ผ่านอย. ไทยแล้ว จะเป็นสาร Hyaluronic Acid ที่สามารถสลายตัวเองตามธรรมชาติได้ภายใน 1 – 2 ปี และเมื่อฟิลเลอร์เริ่มสลายตัวไปแล้ว เราสามารถกลับมาเติมอีกได้เรื่อยๆ โดยต้องมีการพูดคุยปรึกษาแพทย์มาอย่างดีก่อน เพื่อที่แพทย์จะเป็นผู้ประเมินผิวและระยะเวลาการฉีดได้อย่างเหมาะสม ป้องกันอันตรายที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อผิวเราได้ในอนาคต แต่ทั้งนี้ควรมีการเว้นระยะห่างประมาณ 2 – 4 สัปดาห์

หรือในบางกรณีที่มีการฉีดฟิลเลอร์แล้วรู้สึกยังไม่พอใจในผลลัพธ์ที่ได้ เช่น ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วดูเป็นก้อนเมื่อยิ้ม ไม่เป็นธรรมชาติ แพทย์จะแนะนำให้ฉีดสลายฟิลเลอร์เดิมออกก่อน แล้วจึงค่อยทำการฉีดฟิลเลอร์ใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมกับของเดิมจนทำให้เกิดการอักเสบได้นั่นเอง

            ส่วนในกรณีคนที่เติมบริเวณอื่น อย่างเช่น ฟิลเลอร์แก้มตอบ แต่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มพอ สามารถมาฉีดซ้ำเพื่อเพิ่มผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้ โดยที่ไม่ต้องฉีดสลายตัวเดิมก่อนได้ค่ะ เพราะแพทย์จะพิจารณาให้ฉีดสลายได้ต่อเมื่อมีเคสฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน ไม่เรียบเนียน ไม่ดูเป็นธรรมชาติ และเนื้อฟิลเลอร์ที่ไหลไปบริเวณอื่น สำหรับการฉีดสลายฟิลเลอร์นั้น จะสามารถทำได้เฉพาะฟิลเลอร์ที่เป็นประเภทสาร Hyaluronic Acid ที่สามารถสลายได้เอง และอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้นค่ะ

ฟิลเลอร์ (Filler) มียี่ห้อไหนบ้าง? แต่ละยี่ห้ออยู่ได้นานแค่ไหน?

สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน หรือใช้ปริมาณกี่ CC แพทย์ที่มีประสบการณ์ และเชี่ยวชาญในด้านนี้ จะเป็นผู้ประเมินปัญหาผิวของคนไข้ เพื่อเลือกชนิดฟิลเลอร์ที่มีขนาดโมเลกุล ให้เหมาะสมกับตำแหน่งและสภาพผิวของคนไข้ในแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ตามความต้องการของคนไข้มากที่สุด

ในปัจจุบัน มีฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยา หรือ อย.ไทยด้วยกันหลายยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็น Juvederm จากประเทศอเมริกา Restylane จากประเทศสวีเดน Neuramis จากประเทศเกาหลี Belotero จากสวิตเซอร์แลนด์ Revanesse Ultra จากประเทศแคนาดา หรือ Perfectha filler ที่มาจากประเทศฝรั่งเศส ทั้งนี้ จะมียี่ห้อหลักๆ ที่ได้รับความนิยม และเชื่อว่าหลายคนได้ยินแล้วอาจจะรู้สึกคุ้นหูมาบ้าง ว่าแต่จะเป็นฟิลเลอร์รุ่นไหน? และในแต่ละรุ่นช่วยแก้ปัญหาในเรื่องใด มาดูรายละเอียดกันได้ที่นี่เลยค่ะ

ฟิลเลอร์ Restylane สวีเดน

  • Restylane Perlane Lyft เป็นฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของยาชา ที่มีความคงตัวสูง ไม่ฟู สามารถคงรูปได้ดี และย่อยสลายเองได้ จึงสามารถฉีดใหม่ได้เรื่อยๆ เหมาะสำหรับฉีดใต้ตา จมูก คาง สามารถอยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane Defyne เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็งที่มีส่วนผสมของยาชา เนื้อเจลมีความนิ่มปานกลาง และยืดหยุ่นสูง ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยลึกที่เกิดจากรอยยิ้ม ทำให้ผิวดูอ่อนวัยขึ้น เหมาะสำหรับใช้ฉีดกระดูกที่ยุบตัวในผิวชั้นลึก จึงนิยมรักษาบริเวณ midface หรือเติมเต็มร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ฉีดเสริมโหนกแก้ม สามารถอยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Restylane Vital Light เป็นรุ่นผสมยาชา โมเลกุลเบา เจลอนุภาคเล็ก มีเนื้อละเอียด ช่วยแก้ไขจุดที่มีปัญหาเล็กๆ เหมาะสำหรับปรับความชุ่มชื้นของผิวหนัง ฟื้นฟูใบหน้าให้กระจ่างใส ใช้ฉีดเพื่อเก็บรายละเอียดใต้ตา ผิวชั้นตื้น ปาก สามารถอยู่ได้นาน 6 – 12 เดือน
  • Restylane Volyme เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่มีส่วนผสมของยาชา เนื้อนิ่ม ถูกออกแบบมาเพื่อเติมชั้นผิวบริเวณใบหน้าให้อิ่มฟูขึ้น ดูอ่อนเยาว์ เหมาะกับการฉีดปาก แก้มตอบ มุมปาก ร่องแก้ม สามารถอยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Restylane Refyne เป็นฟิลเลอร์อีกรุ่น ที่มีส่วนผสมของยาชา เนื้อเจลมีลักษณะยืดหยุ่น ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยลึกที่เกิดจากการยิ้ม จะเน้นการเติมเต็มริ้วรอยเล็กๆ
  • Restylane Classic เป็นฟิลเลอร์ที่มีการผสมยาชาเช่นกัน ใช้เจลอนุภาคใหญ่ เนื้อแข็ง ถูกออกแบบมาสำหรับแก้ปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงระดับมาก ช่วยในการเก็บรายละเอียดผิวชั้นลึกของคนผิวบาง เหมาะสำหรับฉีดร่องตื้น เช่น ร่องแก้มตื้นๆ ร่องรอย ขมวดคิ้ว ใต้ตา ปาก สามารถอยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane Vital เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย มีคุณสมบัติในเรื่องการปรับความชุ่มชื้นผิวได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ผลลัพธ์เรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ จึงสามารถนำมาแก้ไขปัญหา ริ้วรอย ร่องลึก ตื้นๆ เหมาะสำหรับฉีดใต้ตา หน้าผาก สามารถอยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane Kysse เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด แต่มีความคงตัว จึงช่วยสร้างขอบริมฝีปากที่ชัดเจน ให้ความชุ่มชื้นและอวบอิ่ม ถูกออกแบบมาสำหรับใช้เติมเต็มริมฝีปากโดยเฉพาะ และยังช่วยปรับสีปากให้ดูสดใสขึ้น หลังฉีดสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน 12 เดือน

ฟิลเลอร์ Juvederm อเมริกา

ฟิลเลอร์
  • Juvederm Ultra Plus เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม และฟูมาก เมื่อฉีดไปแล้วจะดูเต็มสวย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาร่องลึกต่างๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามวัย และต้องการปรับรูปหน้า โดยนิยมใช้ฉีดบริเวณริมฝีปาก ร่องแก้ม ขมับ อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Juvederm Voluma เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ฟูปานกลาง เนื้อเจลมีโมเลกุลขนาดใหญ่ จึงมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับใช้เติมใต้ตา คาง ขมับ ปาก ร่องแก้ม อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Juvederm Volift เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความละเอียดมากกว่ารุ่น Ultra Plus เหมาะสำหรับคนผิวบาง นิยมฉีดปาก แก้มตอบ มุมปาก ร่องแก้ม หว่างคิ้ว สามารถอยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Juvederm Volite เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น นิยมใช้ฉีดริมฝีปาก หรือใต้ตา เพื่อเพิ่มความอวบอิ่ม เหมาะกับคนผิวบางแต่ไม่มากเกินไป จะอยู่ได้นาน 8 – 12 เดือน
  • Juvederm Volbella เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีโมเลกุลขนาดเล็ก ที่มีความละเอียดมากที่สุด เหมาะสำหรับฉีดหน้าผาก ช่วยให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน สามารถอยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Juvederm Volux เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีโมเลกุลขนาดใหญ่ จึงมีความยืดหยุ่นสูง ช่วยปั้นทรงสวย และคงรูปได้ดี เหมาะสำหรับฉีดคาง ใต้ตา ขมับ ร่องแก้มชั้นลึก อยู่ได้นาน 18 – 24 เดือน

ฟิลเลอร์ Definisse อิตาลี

ฟิลเลอร์
  • Definisse Restore เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความแข็งปานกลาง เหมาะกับการเติมริ้วรอยร่องลึก ริ้วรอยที่มีความหย่อนคล้อยตามวัย และร่องแก้ม สามารถอยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Definisse Core เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง เหมาะกับการเสริมกระดูก ปรับรูปหน้า เติม mid-face คาง กรอบหน้า อยู่ได้นานถึง 18 เดือน

ฟิลเลอร์ Belotero สวิตเซอร์แลนด์

  • Belotero Intense เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง แต่ยืดหยุ่นสูง มีจุดเด่นช่วยแก้ปัญหาร่องลึกที่เกิดจากการยุบตัวของผิวหนัง เนื่องจากภาวะ aging process ในอายุที่เพิ่มขึ้น เหมาะสำหรับฉีด ร่องแก้ม เติมแก้มตอบ คาง สามารถอยู่ได้นานถึง 18 เดือน
  • Belotero Volume เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง จุดเด่นคือมีความคงตัว และมีความยืดหยุ่นสูง ช่วยแก้ปัญหาใต้ตา ที่เกิดจากเส้นเอ็นรอบดวงตาหย่อนคล้อย จนทำให้เบ้าตาดูลึก ตาโหล เหมาะสำหรับฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก เพื่อเติมเต็มใต้ตาให้ดูอิ่มขึ้น โดยสามารถอยู่ได้นานถึง 18 เดือน
  • Belotero Revive เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ให้ความชุ่มชื้น ผิวเรียบเนียน เหมาะสำหรับฉีด ผิวหน้า ใต้ตา ปาก ลำคอ และหลังมือ สามารถอยู่ได้นาน 6 – 9 เดือน

ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) อันตรายไหม? มีความปลอดภัยมากแค่ไหน?

            โดยปกติฟิลเลอร์ที่ได้มีการรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.ไทย จะเป็นฟิลเลอร์ชนิดสารเติมเต็ม Hyaluronic acid (HA) โดยเป็นฟิลเลอร์ที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ จะเป็นการฉีดเพื่อนำมาทดแทนสารไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic acid) ที่ร่างกายสูญเสียไป เพราะจะมีการผลิตน้อยลงเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ เมื่อมีการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic acid (HA) เข้าไปในร่างกายแล้ว จะไม่มีอันตรายต่อคนไข้ และไม่มีการตกค้างใดๆ ในร่างกาย เนื่องจากฟิลเลอร์สามารถสลายเองตามธรรมชาติได้ภายใน 1 – 2 ปี และสามารถกลับมาฉีดซ้ำได้อีกตามที่ต้องการ

            กล่าวโดยสรุปคือ หากเป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับรองมาตรฐานความปลอดภัย หรือผ่าน อย.ไทย แล้ว จะเป็นสารเติมเต็มที่มีความปลอดภัยสูง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องระมัดระวังเรื่องฟิลเลอร์ของปลอมกันด้วยนะคะ เนื่องจากพบว่าในปัจจุบันมีไม่น้อยที่หลายคนต้องประสบปัญหาดังกล่าว เพราะเห็นราคาถูกจึงไม่ได้ศึกษาข้อมูลเท่าที่ควร การเช็กฟิลเลอร์ว่าเป็นของแท้หรือไม่? จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม นอกจากนี้ สถานที่ที่เข้ารับบริการก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะการฉีดฟิลเลอร์อย่างปลอดภัย จะไม่แนะนำให้ไปฉีดกับหมอกระเป๋าเองที่บ้าน เพราะการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ใช่ว่าจะฉีดที่ไหน หรือฉีดกับใครก็ได้

ควรได้รับการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือมีประสบการณ์ในด้านการฉีดฟิลเลอร์มาอย่างดีเท่านั้น เพราะแพทย์จำเป็นต้องมีความรู้ และชำนาญการด้านโครงสร้างสรีระร่างกายตามจุดที่ฉีดได้ดี จะช่วยในการประเมินปัญหา พร้อมเลือกชนิดของฟิลเลอร์ได้อย่างถูกต้อง รวมไปถึงสามารถฉีดในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ต้องเสี่ยงในการเจอปัญหาฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนค่ะ

อันตราย หากไม่ได้รับการฉีดฟิลเลอร์อย่างถูกต้อง

            แน่นอนค่ะว่าการฉีดฟิลเลอร์จะให้ผลลัพธ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่จะดี และมีความปลอดภัยขึ้นก็ต่อเมื่อได้รับการฉีดโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ในด้านการฉีดมาแล้ว เพราะแพทย์จะรู้โครงสร้างสรีระตามจุดบริเวณต่างๆ และรู้เทคนิคในการฉีดเป็นอย่างดี จึงมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดข้อผิดพลาด ทั้งนี้ ในกรณีที่ได้รับการฉีดอย่างไม่ถูกต้อง เช่น ฉีดกับหมอกระเป๋า หรือพยาบาลเองที่บ้าน เนื่องจากไม่ได้รับการฉีดอย่างถูกต้อง จึงมีโอกาสสูงที่ทำให้เกิดผิดพลาดร้ายแรงถึงขั้นฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด

            ฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด เป็นความผิดพลาดที่อาจอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องจากเมื่อมีฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันเส้นเลือดแล้ว จะทำให้เลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงในจุดต่างๆ ได้ ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่ฟิลเลอร์จะไหลเข้าตา ทำให้เนื้อเยื่อตาย เนื่องจากเลือดไม่สามารถเข้าไปหล่อเลี้ยงได้ นอกจากนี้ยังนำไปสู่การอักเสบ ติดเชื้อขั้นรุนแรง จนทำให้ใบหน้าเสียโฉมไม่มั่นใจ บางรายอาจถึงขั้นป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้เลย

เพราะเมื่อมีการฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด จะมีอาการที่ตามมาคือ เริ่มมีรอยช้ำตามบริเวณที่ฉีด และมีความรู้สึกปวดเจ็บแปล๊บขั้นรุนแรง ผ่านไปสักพักจะพบผื่นแดง ตุ่มหนองเกิดขึ้นบริเวณที่ฉีด หรือผิวใกล้เคียงจำนวนมาก บางรายพบอาการรุนแรงกว่าเดิมถึงหลายเท่าตัวเพียงชั่วข้ามคืน เช่น ใบหน้าบวม ปากบวมช้ำ มีแผลในปากหลายจุด ร้ายแรงสุดคืออาจถึงขั้นทำให้ตาบอด หรืออาจเสี่ยงถึงขั้นหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เป็นอันตรายถึงชีวิต

            ด้วยเหตุนี้ จึงอยากย้ำเตือนกันอีกครั้งค่ะว่า การฉีดฟิลเลอร์ ไม่ใช่ว่าจะฉีดที่ไหน หรือฉีดกับใครก็ได้ ต้องได้รับการฉีดจากแพทย์มากประสบการณ์ มีความชำนาญในด้านการฉีดฟิลเลอร์มาแล้วเป็นอย่างดี เพราะจะมีความรู้ในด้านโครงสร้างสรีระตามจุดบริเวณที่ฉีดของร่างกาย และแพทย์จะรู้ว่าบริเวณไหนเป็นจุดอันตรายที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ รวมทั้ง สามารถให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังฉีดได้อย่างเหมาะสม

ในทางตรงกันข้าม หากแพทย์ฉีดแล้วมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา ยังสามารถทราบสาเหตุ และรักษาแก้ไขได้อย่างถูกวิธีและทันการ เพื่อไม่ให้ลามไปถึงขั้นอันตราย ด้วยเหตุนี้ การฉีดฟิลเลอร์จึงไม่ใช่เรื่องที่เราจะสามารถชะล่าใจ และประมาทได้ แนะนำว่าควรเข้ารับบริการกับคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง โดยมีเลขที่ใบอนุญาตเปิดบริการ 11 หลัก

อีกทั้ง ก่อนฉีดอย่าลืมสแกน QR Code ข้างกล่องเพื่อเช็กดูว่าเป็นฟิลเลอร์แท้หรือไม่? เพราะฟิลเลอร์แท้จะเป็นสารที่สามารถสลายเองได้ ไม่ตกค้างในร่างกาย แต่ถ้าเป็นฟิลเลอร์ปลอม นอกจากจะส่งผลให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนแล้ว ยังลามถึงขั้นเกิดการอักเสบ บวมช้ำ ตามผิวบริเวณที่ฉีด ทำให้ใบหน้าเสียโฉม ขาดความมั่นใจได้ไม่แพ้กันเลยค่ะ และวิธีรักษาจะไม่สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ จำเป็นต้องให้แพทย์ขูด หรือทำการผ่าตัดออกเท่านั้น ซึ่งค่าใช้จ่ายจะแพงกว่าการฉีดฟิลเลอร์ของแท้แบบทวีคูณเลย

สาเหตุอะไรบ้าง? ที่ทำให้ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) แล้วเป็นก้อน

            ฟิลเลอร์เป็นก้อน ( https://lagraceclinic.com/filler-dissolve/ )  แน่นอนค่ะว่าปัญหาที่น่ากังวลใจของสายฉีดฟิลเลอร์คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้ เพราะใช่ว่าทุกคนที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วจะได้ผลลัพธ์ออกมาสวยงามตามที่ต้องการ บางคนฉีดฟิลเลอร์แล้วแต่ยังดูไม่เป็นธรรมชาติ เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นก้อน โดยพบว่าส่วนมากจะเกิดขึ้นกับบุคคลที่ไม่ได้รับการฉีดฟิลเลอร์จากแพทย์และในสถานพยาบาลที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องมาเจอกับปัญหาดังกล่าว เช็กสาเหตุกันได้ที่นี่เลยค่ะ

1. ฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่ไม่มีความรู้ประสบการณ์ในด้านนี้

ข้อนี้นับว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เนื่องจากแพทย์จะต้องเป็นผู้ประเมินปัญหาผิว และรู้ลึกถึงการเลือกประเภทของฟิลเลอร์ที่ควรฉีดในบริเวณต่างๆ เพื่อจะแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง รวมไปถึงการเลือกใช้ปริมาณฟิลเลอร์ในแต่ละบริเวณได้อย่างเหมาะสมด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ แพทย์ยังต้องรู้เรื่องโครงสร้างสรีระของร่างกาย ณ จุดที่ฉีดเป็นอย่างดี พร้อมทั้งมีความสามารถในด้านศิลปะ เพื่อที่จะสามารถนำมาประเมินโครงหน้าของคนไข้ ว่าควรฉีดจุดไหน ต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์เท่าไหร่ในการฉีดแต่ละครั้ง ถึงจะให้ผลลัพธ์ออกมาสวยเป็นที่น่าพึงพอใจ ดูเป็นธรรมชาติ ไม่โป๊ะ และฟิลเลอร์ไม่เป็นก้อนอีกด้วยค่ะ

2. เลือกใช้ประเภทของฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ฉีด

อย่างที่เคยกล่าวมาข้างต้นแล้วว่า ฟิลเลอร์มีหลายยี่ห้อ และหลายชนิด เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไป เนื่องจากฟิลเลอร์นั้นจะมีหลายขนาดโมเลกุล ที่มีความหนาแน่น และความเหนียวไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ชั้นผิวในแต่ละบริเวณจะมีความลึกไม่เท่ากัน จึงต้องมีการผลิตฟิลเลอร์ขึ้นมาหลายรูปแบบ เพื่อสามารถเลือกใช้ตามบริเวณต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม เช่น ฟิลเลอร์ที่มีขนาดของโมเลกุลความหนาแน่นสูง ควรนำมาฉีดในระดับผิวชั้นลึก หากเกิดการฉีดผิด ณ เวลาที่เราขยับ หรือแสดงสีหน้า จะทำให้ฟิลเลอร์ดันตัวจนเกิดเป็นก้อนได้นั่นเอง

3.  ปริมาณที่ใช้ฉีดต้องมีความเหมาะสม

สำหรับในกรณีนี้มักจะเกิดจากเทคนิกของแพทย์ที่ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ในด้านการฉีดมาก่อน เนื่องจากปกติแพทย์ที่ทำการฉีดฟิลเลอร์ จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสรีระโครงสร้างบนใบหน้าเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความรู้เรื่องของชั้นผิว ไขมัน กล้ามเนื้อ และรูปกระดูก จึงจะสามารถวิเคราะห์ปัญหาได้ดี จากนั้นค่อยกำหนดปริมาณ ฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยสูง ด้วยเหตุนี้ ข้อนี้จึงเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่า หากไปฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญการ ไม่ว่าจะเป็นหมอปลอม หรือหมอกระเป๋า มีโอกาสสูง และพบบ่อยครั้งที่จะเจอปัญหาการฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากเกินไป จนส่งผลให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงหากมีการเติมฟิลเลอร์ผิดชั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อนได้เช่นกันค่ะ

4. ฉีดฟิลเลอร์ปลอม ที่ไม่ใช่สาร Hyaluronic acid

         อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ไม่อยากให้สาวๆ หนุ่มๆ มองข้ามกันว่า การที่เราจะนำสารบางอย่างเข้าสู่ร่างกาย จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสาร หรือสิ่งนั้นให้ละเอียดเสียก่อน ยิ่งในกรณีที่เป็นฟิลเลอร์ อย่างที่เราทราบกันดีว่า ฟิลเลอร์ของแท้จะไม่เป็นอันตราย และไม่มีการตกค้างในร่างกาย เนื่องจากเป็นสาร Hyaluronic acid ที่เป็นสารที่มีอยู่ในร่างกาย สามารถสลายเองตามธรรมชาติได้ ภายใน 1 – 2 ปี ซึ่งจะแตกต่างจากฟิลเลอร์ของปลอม มักพบบ่อยในราคาที่ถูกเกินไป ไม่ได้มาตรฐาน และสารที่ใช้จะเป็นเพียงสารที่ถูกลอกเลียนแบบขึ้นมา ที่เจอมักจะเป็นซิลิโคน หรือฟิลเลอร์ประเภทแบบกึ่งถาวร (Semi Permanent Filler) และฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent Filler) ซึ่งเป็นชนิดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้รับการรับรองหรือผ่านอย.ของประเทศไทย

เมื่อทำการฉีดเข้าไปภายในร่างกายแล้ว สารเหล่านี้จะยังคงอยู่ภายในร่างกาย  จะไม่สามารถย่อยสลายเองได้ตามธรรมชาติ ซึ่งส่งผลให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน และหากจะทำการแก้ไข ในกรณีนี้จะไม่สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ค่ะ ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญขูดออกให้ หรือเลวร้ายสุดคือต้องให้แพทย์เป็นผู้ผ่าตัดออกให้เท่านั้น และแน่นอนค่ะว่าค่าใช้จ่ายที่ใช้จะค่อนข้างแพงหลายเท่าตัวยิ่งกว่าการฉีดฟิลเลอร์ของแท้ เพราะฟิลเลอร์ของปลอม จะไม่ได้มีปัญหาเพียงฟิลเลอร์เป็นก้อน แต่ยังส่งผลเสียทำให้ผิวอักเสบ บวมช้ำ และนำไปสู่อีกหลายๆ สาเหตุตามมาด้วย จึงมีโอกาสที่ต่อให้ทำการรักษาแล้ว ใบหน้าของเราอาจไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกค่ะ

ฟิลเลอร์ (Filler) แท้ที่ปลอดภัย ดูยังไง?

เช็กไว้ ปลอดภัยไว้ก่อน เพื่อไม่ให้โดนสอดไส้ถูกแอบใช้ฟิลเลอร์ของปลอม จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาวิธีดูฟิลเลอร์ของแท้แต่ละยี่ห้อกันค่ะว่า มีจุดสังเกตอะไรบ้าง? และมีบริษัทนำเข้ามาอย่างถูกกฎหมายหรือไม่? ทั้งนี้โดยรวมสามารถสังเกตได้ง่ายๆ ดังนี้เลยค่ะ

1. ก่อนฉีดฟิลเลอร์ทุกครั้ง ต้องให้แพทย์แกะกล่องฟิลเลอร์ใหม่ให้คนไข้ดูตอนฉีดเลย และคนไข้อย่าลืมสแกน QR Code ที่อยู่บริเวณกล่อง เพื่อตรวจสอบของแท้จากผู้แทนจำหน่ายค่ะ

2. จะต้องมีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ด้วยเสมอ

3. เลข lot ที่กล่อง ซอง สติกเกอร์ หรือหลอด จะต้องตรงกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อว่าจะมีจุดตรงไหนบ้าง เช่น หากเป็นยี่ห้อ Juvederm เลข lot จะต้องตรงกันทั้ง 4 จุด แต่ถ้าหากเป็นของยี่ห้อ Restylane เลข lot ที่ตรงกันจะมีอยู่เพียง 2 – 3 จุด ขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทของฟิลเลอร์ด้วยนั่นเอง

4. ในแต่ละยี่ห้อ เราสามารถนำเลข lot มาโทรเช็กกับบริษัทนำเข้าได้

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ (Filler) แต่ละจุด ต้องใช้กี่ CC ?

         สำหรับการฉีดฟิลเลอร์จะมีการใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละบริเวณ โดยจะขึ้นอยู่กับปัญหาที่ต้องการแก้ไข และความพึงพอใจของผู้ที่ต้องการฉีด ทั้งนี้ ปริมาณ CC จะไม่สามารถเจาะจงได้ เพราะในแต่ละบริเวณ กับแต่ละปัญหา จะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่แตกต่างกัน แพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณการฉีดตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับเทคนิกการแพทย์นั่นเองค่ะ

ซึ่งในแต่ละบริเวณเราสามารถทยอยฉีดจนกว่าจะได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจได้ แต่จะมีข้อยกเว้นคือฟิลเลอร์จมูก อย่างที่เคยกล่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า แพทย์จะใช้ไม่เกิน 1 CC เท่านั้น เพราะถ้าหากมากกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปซักระยะทรงจมูกจะเริ่มบานออกด้านข้าง เนื่องจากคุณสมบัติของฟิลเลอร์คือ ไม่สามารถคงสภาพให้เป็นแท่งได้แบบเดียวกันกับแท่งซิลิโคน หรือเส้นไหมนั่นเองค่ะ สำหรับคนที่สนใจอยากฉีดฟิลเลอร์แต่ไม่มั่นใจว่าตนเองต้องฉีดปริมาณเท่าไหร่ ฉีดกี่ CC ที่ ลา กราซ คลินิก รับคำปรึกษาจากแพทย์ฟรีก่อนเข้ารับบริการได้ ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ (Filler) ควรเตรียมตัวอย่างไรดี?

1. งดยาแอสไพริน NSAIDs เช่น Ibuprofen, Diclofenac และ Ponstan

2. งดทานวิตามิน ที่สามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ซึ่งทำให้เลือดแข็งตัวช้าในระหว่างฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจเสี่ยงต่อการช้ำหลังฉีด เช่น วิตามินอี St. Johns Wort, Ginkgo biloba, Primrose oil, Garlic และ Ginseng

3. งดสกินแคร์หรือยาที่ผลัดเซลล์ผิว ประมาณ 3 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์บริเวณต่างๆ เช่น Retinoids, Retinol และ Glycolic Acid

4. งดผลัดเซลล์ผิว การดึง การโกนขน ในบริเวณก่อนทำหัตถการฉีดฟิลเลอร์

5. หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่รับประทานประจำ แนะนำให้เตรียมข้อมูลเพื่อแจ้งกับแพทย์ก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ทุกครั้ง

6. กรณีมีคอร์สหัตถการเกี่ยวกับบริเวณที่ฉีด เช่น นวด คอร์สเลเซอร์ต่างๆ ควรทำมาก่อนการฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 3 วัน

7. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์ ใน 24 ชั่วโมงค่ะ

8. ควรงดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดเช่น ออกกำลังกายอย่างหนัก การเข้าห้องซาวน่า ก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง

ก่อนและหลังฉีด ควรดูแลตัวเองอย่างไรดี? คุณหมอมีคำตอบที่คลิปนี้เลยค่ะ

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง?

1. ปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับบริการ เพื่อให้แพทย์ประเมินปัญหาที่เราต้องการแก้ไข โดยแพทย์จะแนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์ และปริมาณที่ใช้ฉีดอย่างเหมาะสมในแต่ละจุดที่ต้องการแก้ไขค่ะ

2. ก่อนฉีดฟิลเลอร์จะมีการทำความสะอาดใบหน้า จากนั้นแพทย์จะทำการแกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า อย่าลืมสแกน QR Code เช็กของแท้จากผู้แทนจำหน่ายกันด้วยนะคะ

3. จะมีการประคบน้ำแข็ง เพื่อลดอาการเจ็บจากเข็ม ในขณะเดียวกันเนื้อฟิลเลอร์ส่วนใหญ่จะมียาชาผสมอยู่ด้วยค่ะ

4. หลังฉีดฟิลเลอร์เสร็จแล้ว แพทย์จะแนะนำวิธีดูแลตัวเอง เพื่อคงผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพและไม่เกิดความเสี่ยงใดๆ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดค่ะ

หลังฉีดฟิลเลอร์ (Filler) ควรดูแลตัวเอง อย่างไรดี?

1. ควรอยู่ในพื้นที่ที่อากาศเย็น หรือไม่ร้อนเกินไป พยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนทุกชนิด เช่น เข้าซาวน่า ออกกำลังกายอย่างหนัก และตากแดดจัด เป็นต้น

2. หลีกเลี่ยงการแกะ เกา แตะ หรือกดนวดในบริเวณที่ฉีด ทั้งนี้ หลังฉีดอาจมีอาการบวมแดง หรือเขียวช้ำเป็นปกติ โดยอาการดังกล่าวจะค่อยๆ ดีขึ้นใน 2 – 3 วัน

3. ในกรณีที่หลัง 3 วันไปแล้ว แต่มีอาการบวมมากขึ้น ให้รีบติดต่อมาที่คลินิกเพื่อรับยากินเพิ่มค่ะ

4. งดการเลเซอร์ความร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด อย่างน้อยประมาณ 1 เดือน

5. พยายามหลีกเลี่ยงการขยับผิวในบริเวณจุดที่ฉีดมากเกินไป ในช่วง 3 วันแรก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนผิดรูปได้

6. หลีกเลี่ยง หรืองดการทานอาหารที่ส่งผลต่อการอักเสบ บวม และทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ช้า อาทิ การสูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ อย่างหมูกระทะ ชาบู อาหารหมักดอง และอาหารรสเผ็ดจัดเกินไป เป็นต้น

7. แพทย์จะมียาแก้ปวด ยาลดอาการบวมให้นำกลับไปทานที่บ้าน สามารถรับประทานตามที่แพทย์สั่งได้เลยค่ะ

8. ดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ หรืออย่างน้อย 8 – 10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตรต่อวัน ในช่วง 3 – 4 วันแรกหลังฉีด เพราะการดื่มน้ำจะช่วยให้ฟิลเลอร์คงรูปได้ดี และ สาร Hyaluronic Acid ในฟิลเลอร์จะเป็นสารที่สามารถอุ้มน้ำได้ดี การดื่มน้ำมากๆ จึงช่วยส่งเสริมให้ฟิลเลอร์อิ่มฟูได้รูปยิ่งขึ้นค่ะ

ฉีดฟิลเลอร์ให้สวยยาวนาน ต้องดูแลตัวเองอย่างไรดี?  https://shorturl.asia/IH2zY

ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) ให้ปลอดภัยขึ้น ต้องมีปัจจัยไหนบ้าง?

เพราะการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฉีดที่ไหน หรือฉีดกับใครก็ได้ เนื่องจากเป็นการนำสารบางอย่างเข้าสู่ร่างกาย จึงจำเป็นต้องได้รับการระมัดระวังเป็นพิเศษในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น เทคนิกการฉีดของแพทย์ แพทย์มีความรู้ในด้านนี้มากพอหรือไม่? รวมถึงฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นสารประเภท Hyaluronic acid ที่รับรองจากอย.ไทย ไหม? ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจอยากฉีดฟิลเลอร์ จำเป็นต้องเช็กในเรื่องอะไรบ้าง? เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และความมั่นใจในการฉีดมากขึ้น มีดังนี้เลยค่ะ

1. คลินิกที่มีมาตรฐาน และมีความปลอดภัย ซึ่งได้มีการรับรองเปิดใช้บริการ โดยมีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก ติดอยู่บนหน้าร้าน พร้อมชื่อและสาขาเสมอ

2. มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในด้านการฉีดฟิลเลอร์มาก่อน เพราะแพทย์จะมีความชำนาญและเข้าใจในด้านโครงสร้างสรีระร่างกายตามจุดที่ฉีดได้ดี ซึ่งจะช่วยให้สามารถประเมินปัญหา พร้อมทั้งเลือกชนิดของฟิลเลอร์ได้อย่างถูกต้อง และสามารถฉีดในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เป็นก้อน รวมถึงให้ได้ผลลัพธ์ออกมาสวยดูเป็นธรรมชาติค่ะ

3. อันตรายหากไม่ได้รับการฉีดจากแพทย์ โดยสามารถนำรายชื่อแพทย์ไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ https://checkmd.tmc.or.th เป็นเว็บไซต์สำหรับตรวจสอบรายชื่อแพทย์จากฐานข้อมูลแพทย์สภา เพื่อเช็กความปลอดภัยว่าเป็นแพทย์จริงหรือไม่? 

4. ตรวจสอบฟิลเลอร์แท้ก่อนฉีด เพื่อให้แน่ใจว่าฟิลเลอร์ที่เราฉีดนั้น เป็นสาร Hyaluronic acid ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.ไทย เพื่อป้องกันการถูกสอดไส้ใช้ของปลอม อย่างซิลิโคน เป็นต้น

5. ก่อนฉีด แพทย์จะแกะกล่องใหม่ตรงหน้าคนไข้เสมอ ระหว่างนั้น อย่าลืมสแกน QR Code ที่อยู่บนกล่อง เพื่อตรวจสอบของแท้จากผู้แทนจำหน่ายค่ะ

6. เลือกคลินิกที่ให้บริการปรึกษาปัญหาฟรีทั้งก่อน และหลังจากเข้ารับบริการ

7. คลินิกที่มีการติดตามผลหลังทำของคนไข้เสมอ

ฟิลเลอร์

ฉีดฟิลเลอร์ ราคาเท่าไหร่?

            สำหรับราคาฟิลเลอร์ในแต่ละจุด จะมีความแตกต่างกันไปตามยี่ห้อที่เลือกใช้ และระยะเวลาของการคงผลลัพธ์ รวมไปถึงบางจุดอาจมีความยาก จำเป็นต้องใช้ เทคนิกพิเศษในด้านการฉีด สามารถลงทะเบียนเพื่อรับการปรึกษาแพทย์ ก่อนเข้ารับบริการได้ที่นี่เลยค่ะ https://shorturl.asia/xvAZz

รวมรีวิวฟิลเลอร์ทั้งหมด

ฟิลเลอร์ใต้ตา และร่องแก้ม ช่วยลดร่องลึกใต้ตา ร่องแก้มดูตื้นขึ้น ปรับรูปหน้าให้กลับไปอ่อนเยาว์อีกครั้ง

จากปัญหาใบหน้ากลม บาน และหย่อนคล้อย ไม่มั่นใจในรูปหน้าของตัวเองเวลาถ่ายรูป คุณหมอจึงได้มีการปรับรูปหน้า กรอบหน้าชัด โดยจะเห็นผลทันทีหลังทำ และเมื่อใช้เวลาซักระยะ รูปหน้าจะกระชับ เป๊ะได้รูปขึ้นเยอะมากค่ะ

Similar Posts